แรกพบ มาเลเซีย (Steps on Malaysia)

การเดินทางเข้าประเทศมุสลิม ที่มีประชาการหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา ครั้งแรก

KLCC

KLCC

วันที่ 19-22 มกราคม 2556 มีโอกาสได้เดินทางไปประเทศมาเลเซียกับเพื่อนรุ่นพี่อีกคนครั้งแรกด้วยกันทั้งสองคน

เรามีเวลาเตรียมตัวกันพอสมควรแต่ด้วยความที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะกัน การสนทนาก็ขาดหายไปบ้าง ก่อนเดินทางมีเวลาทำความเข้าใจกับแผนการคร่าวๆว่าต้องเดินทางยังไง ใช้เงินยังไง ทานอะไร สารพัดคำถามที่พยายามเตรียมข้อมูลแต่เอาเข้าจริงๆ ข้อมูลที่เตรียมเป็นแค่ 20% ของการเดินทางจริง ประสบการณ์การเดินทางไปมาเลเซียครั้งนี้น่าจดจำ เราจึงใช้ wordpress บันทึกไว้อ่านและแบ่งปันให้ผู้สนใจค่ะั

สถานที่ในแผนการเดินทางคือเมืองมะละกาและกัวลาลัมเปอร์ รอบนี้ไม่ได้ไป Genting Highland อยากที่คาดไว้เพราะโรงแรมที่ต้องการพักเต็มเราเลยเปลี่ยนแผนการเดินทางเป็นมะละกาแทน เริ่มต้นการเดินทางกันเลย

วันที่ 19 มกราคม

9.45 น. เดินทางด้วยสายการบิน low cost ที่สนามบินดอนเมือง ถึง LCCT (Low Cost Carrier Terminal) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เวลาประมาณ 12.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าไทย 1 ชม.

backpacker

หลังจากเสร็จจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเราก็เดินไปที่จอดรถโดยสารเพื่อเดินทางไปเริ่มต้นการเดินทางที่ KL Sentral หรือชุมทางรถไฟกัวลาลัมเปอร์ การเดินทางจาก LCCT ไปยัง KL Sentral ไม่อยากเลย เพราะมีรถให้บริการหลายบริษัท 2 บริษัทที่คนใช้บริการมากคือ Aero Bus คันสีเหลือง ค่ารถ   RM 8 หรือประมาณ 80 บาท อีกบริษัทคือ Sky Bus คันสีแดง ค่ารถ RM 9 หรือประมาณ 90 บาท ใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชม. ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่เร็วกว่าการนั่งรถโดยสารคือ นั่ง Shuttle Bus จากสนามบินแล้วไปต่อรถไฟเร็ว KLIA Trasit ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ประหยัดเวลาไป 30 นาที ค่าโดยสารประมาณ RM 12.50 หรือประมาณ 125 บาท

On the way to Melaka

เราเลือกนั่งรถ Aero Bus เพื่อไป KL Sentral และเริ่มต้นการเดินทางแบบจริงจัง ไปถึงที่นั่นก็สับสนเหมือนกันค่ะเพราะมีรถไฟหลายชนิดเหลือเกิน ทั้ง รถไฟรางเดียว รถไฟใต้ดิน รถไฟเร็ว ต้องเดินหาป้ายเส้นทางเดินรถไฟเพื่อหาทางไปสถานีรถโดยสารเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองมะละกา ตอนแรกที่อ่านหนังสือท่องเที่ยวและเว็บไซด์ของ Pantip.com เพื่อศึกษาเส้นทางเราก็ได้ข้อตกลงว่าจะไปขึ้นรถกันที่ สถานีปูดูจายา Pudu Sentral โดยขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Pasar Rakyat แล้วเดินอีกไม่ไกล แต่ปรากฎว่าสถานีปูดูจายา เป็นสถานีสำหรับการเดินทางข้ามเมืองหรือไปยังรัฐต่างๆรวมทั้งหาดใหญ่ ประเทศไทย รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานีดูได้ตามลิงค์นี้ค่ะ Pudu Sentral ส่วนใครที่จะไปมะละกาต้องไปขึ้นรถที่ TBS (Terminal Bersepadu Selatan) สำหรับการเดินทางไปทางใต้ของกัวลาลัมเปอร์ โดยนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Bandar Tasik Selatan      ถ้าใครออกจากสนามบินแล้วจะไปมะละกา แนะนำว่าให้นั่ง Shuttle Bus จากสนามบินไปต่อรถไฟแล้วลงที่สถานี Bandar Tasik Selatan ได้เลย เร็วกว่ามาก จะได้มีเวลาเดินเที่ยวเมืองที่ยูเนสโกยกให้เป็นสถานที่สำคัญ เราใช้บริการของบริษัท Transitional ค่ารถ RM 12.50 หรือ 125 บาท ใช้เวลาเดินทางจาก KL ไปมะละกา 2 ชม. โดยจอดรถที่ Melaka Sentral ห่างจากตัวเมืองมะละกาประมาณ 5 กม. สามารถนั่งรถสาย 17 เข้าไปตัวเมืองได้

getting around

เราใช้เวลากับการหลงทางและสับสนใน KL นานพอสมควร กว่าจะได้ขึ้นรถก็ 6 โมงเย็นแล้ว กว่าจะถึงก็ประมาณ 2 ทุ่ม แต่เหมือนว่าพระอาทิตย์จะตกช้ากว่าประเทศไทย เพราะเวลา 1 ทุ่มของมาเลเซียสว่างเหมือน 5 โมงเย็นประเทศไทย ระหว่างเดินทางเราก็ถามทางไปเรื่อยๆ คนมาเลย์ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ดีมากนะคะ เพราะมีคนหลายเชื้อชาติทำให้บางครั้งเราเห็นคนแขกกับจีนไม่พูดภาษามาเลย์แต่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร

Landmark of Melaka

ครั้งแรกที่ได้เห็นเมืองนี้รู้สึกชอบเลย ตึกสวย มีทั้งแบบชิโนโปรตุกีส แบบจีนแท้ และดัชท์ ด้วย อันที่จริงเราแยกไม่ออกด้วยซ้ำแต่การร่วมมือร่วมใจกันติดไฟสีชมพูส่องตึกให้ดูสวยงามถือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก เพราะมองไปทางไหนก็สวยมากๆ

.....................................

พอถึงใจกลางมะละกาการเดินทางก็ยังไม่จบเพราะยังต้องเดินหาโรงแรมที่พัก ซึ่งจองผ่านอโกด้า และดูในแผนที่ไม่ไกลจากถนนคนเดินมากนักแต่ด้วยความที่ไปครั้งแรกและไม่ได้เอาแผนที่ไปด้วยจึงทำให้ต้องถามทางคนแถวนั้น เราเลือกถามคุณลุงคุณปั่นสามล้อดอกไม้ ซึ่งคุณลุงจะฟันเรา RM 20 ซึ่งเราเลือกเดินให้คุณลุงช่วยบอกทาง เอาเข้าจริงคือคุณลุงแกล้งบอกทางอ้อมไกลเลย แต่ก็ไม่ได้ให้หมดอารมณ์ในการเดินทางเพราะเตรียมใจกับเรื่องแบบนี้ไว้พอสมควร เราถามคนแถวนั้นประมาณสามรอบได้ มีคนถามว่ามาจากเมืองไทยใช่ไหม แล้วยังพูดทักทายเราว่า “สวัสดีครับ” ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงรู้เพราะหน้าตาแบบนี้ต้องเป็นคนอาเซียนแน่นอน หรือว่าคนไทยหลงบ่อยๆ ฮ่าๆ สรุปคือถึงโรงแรมประมาณ 3 ทุ่ม

dinner at Jonker Street

เราพักกันที่โรงแรม Hotel Hong @Jonker Street, Jalan Musjid อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนและไม่ไกลจากถนนคนเดินถ้าใช้ทางลัด    บรรยากาศโรงแรมเหมือนปรับปรุงจากอาคารหรือบ้านมาทำเป็นห้อง ห้องพักสะอาด ห้องน้ำสะอาด น้ำไหลแรง Wi-Fi แรง พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มแจ่มใส ให้ความช่วยเหลือดีและที่สำคัญเจ้าของโรงแรมมีรถขับไปส่งแขกที่สถานีขนส่ง Melaka Sentral ด้วยค่ะ ถือเป็นความประทับใจและอยากจะแนะนำค่ะ ถ้าได้ไปเที่ยวมะละกาแนะนำโรงแรมนี้เลยค่ะ ราคาเริ่มตั้งแต่ 700-1200 บาท (ไม่รวมอาหารเช้า)

หลังจาก Check in เรียบร้อยเราไปเดิน Jonker Walk เพื่อหาอาหารทาน ถนนคนเดินของมะละกายาวมากและมีสินค้ามาวางขายเต็มไปหมด ทั้งร้านอาหาร ผับ บาร์ อาหารสำเร็จ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ของฝาก ฯลฯ เราเดินวนหลายรอบเหมือนกัน

95 Bath/ Pax

95 Bath/ Pax

ตงลงมื้อเย็นเป็นซูชิ อาหารญี่ปุ่นซะงั้น รสชาดดีค่ะ ราคาไม่แพงด้วย ประมาณ 95 บาท ต่อคน เสร็จจากทานมื้อเย็นเราตั้งใจเดินให้ทั่ว Junker Walk เพื่อดูวิถีชีวิตและบรรยากาศ และหาซื้อของที่ระลึกไปฝากคนที่เมืองไทย อย่างเดียวที่ได้คือแม่เหล็กติดตู้เย็นรูปต่างๆ ราคา 3 ชิ้น RM 10 หรือ 100 บาท ได้มา 6 ชิ้น จากนั้นก็กลับห้องพักเพื่อไปพักผ่อนนอนเอาแรงไว้เดินตะลอนต่อพรุ่งนี้

Jonker Street @ Melaka

วันที่ 20 มกราคม

เช้านี้เราตื่นกันประมาณตี 5 ห้าครึ่ง ตั้งใจจะไปเดินเก็บบรรยากาศยามเช้าตรู่และกลับ KL ตอนเที่ยง ให้ทันกลับไปชมตึก Petronas Twin Tower แต่ปรากฎว่าตี 5 ครึ่งยังเหมือนตีสาม เงียบมากและมืดสนิท กว่าจะออกไปเดินกันได้ก็ 7 โมงเช้าแล้ว สังเกตว่าคนมาเลย์นอนดึกและตื่นไม่เช้ามาก คงเพราะพระอาทิตย์ไม่ยอมขึ้นซะที วันนี้ตั้งใจไปหลายที่ซึ่งก็เก็บได้เกือบครบ ยกเว้นบางที่ที่หาไม่เจอและเวลาไม่พอ

small hote but friendly staffs

small hote but friendly staffs

เราเเดินออกจากโรงแรมออกมาเรื่อยๆจะเจอ St. Francis Xavier’s Church อยู่ไม่ไกลจาก Christ Church และ The Standthuys ตรงนี้ถือว่าเป็น Landmark ของเมืองมะละกาเพราะอาคารบ้านเรือนจะเป็นสีแดงสวยงาม คนมาถ่ายรูปกันเยอะมาก เราใช้เวลาตรงนี้อยู่นานพอสมควรกว่าจะถ่ายครบเพราะต้องรอคิว วันอาทิตย์คนจะเยอะเป็นพิเศษ

St. Francis Xavier

Dutch Square

พี่แก้วกระโดดแบบมืออาชีพมาก ทั้งๆที่เราพยายามกระโดดให้ได้แบบนี้แต่ท่ามันออกมาเหมือนจะวิ่งหนีตำรวจประมาณนั้น ฮ่าๆๆ

Christ Church Melaka

ก่อนไปเดินตะลอนเราไปทานอาหารขึ้นชื่อของเมืองมะละกา เป็นข้าวมันไก่มีข้าวก้อนกลมๆเหมือนลูกชิ้น (Hainanese Chicken Rice) ชื่อร้านว่า  Chop Chung Wah ร้านอยู่ตรงหัวมุม ด้านหน้าของถนน Jonker Street เดินข้ามสะพานมาอยู่ขวามือ ร้านไม่ใหญ่มากแต่คนเต็มตลอด รต้องรอคิวกันเลยแต่ก็ไม่ต้องรอนานมากเพราะคนจีนทานกันเร็ว เสร็จแล้วก็เดินออกทันที รอไม่นานก็ได้อาหาร ลองทานแล้วรสชาดไม่แย่ค่ะ อร่อยดี ไก่ต้มอร่อยเนื้อแน่น แต่จะไม่มีน้ำซุปและน้ำจิ้มไม่เหมือนไทย ถ้าไปมะละกาก็ลองดูนะคะ

Chicken Rice Ball

หลังจากทานข้าวสายเสร็จแล้ว เราเดินไปเริ่มต้นกันที่ Tourist Information ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านข้าวมันไก่ ข้ามสะพานลอยมาก็ถึงเลย สถานที่แรก เป็นริมน้ำมะละกา คิดว่าถ้าเป็นช่วงกลางคืนจะสวยมากเพราะมีไฟแสงสีค่อยส่องไปกระทบที่อาคาร เขาว่ากันว่าโรงแรมข้างแม่น้ำมะละกาตอนกลางคืนสวยมาก ชื่อโรงแรม Casa Del Rio

Maritime Museum

เดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเล (Maritime Museum) เป็นเรือใหญ่ แต่ว่าเราไม่ได้เข้าไปเพราะตอนนั้นอากาศร้อนมาก อ่านจากประสบการณ์คนที่เข้าไปบอกว่าไม่มีเครื่องปรับอากาศ เราก็เลยเดินวนรอบๆชื่นชมความสวยงาม

Melaka River

หลังจากนั้นเราเดินไปที่ถนน Jalan Kota ถนนตรงนี้มีพิพิธภัณฑ์เยอะมาก บางที่เข้าฟรีค่ะ ตรงนี้ตึกสวยเดินไปได้เรื่อยๆสบายๆ จะผ่านรถไฟหัวจักรเก่า ถ้าเดินอีกสักพักก็จะไปยัง A Famosa กำแพงโปรตุเกสที่สร้างสมันที่เข้ามาปกครองมะละกา มองจากกำแพงจะเริ่มเห็นเมืองใหม่มีตึกสูง ข้าง A Famosa เป็น Melaka Sulatanate Palace Cultural Museum

A Famosa

ผ่านกำแพงเดินขึ้นไปตรงเนิน สูงพอสมควร จะเป็น St. Paul Church สวยมีเอกลักษณ์เป็นกำแพงสูงอยู่บนเนินที่สูงแต่เหมือนถูกทำลายบางส่วนในช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อากาศดีมากเพราะอยู่ค่อนข้างสูงสามารถมองเห็นเมืองมะละกาได้อย่างชัดเจน

St. Paul’s Church

St. Paul's Church

ใช้เวลากับ St. Paul พักใหญ่ เราก็เดินตามทางลงมาถึงจุดเดิมคือ Christ Church แล้วเดินกลับโรงแรมเพื่อเตรียม check in และเดินทางกลับ KL ในเวลาเที่ยง โดยเจ้าของโรงแรมอาสาไปส่งแขกในโรงแรมที่ต้องการไป Melaka Sentral ประทับใจกับบริการมาก พนักงานน่ารักและคอยช่วยเหลือทุกคน ถ้าใครไปพักที่นี่สอบถามตารางได้จากพนักงานว่ามีช่วงเวลาไหนบ้างที่จะมีรถไปส่ง

12.30 น. ออกเดินทางจากโรงแรมไปที่ Melaka Sentral ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ซี่งเราจะทันรถทัวร์รอบ บ่ายโมง พอดี ขากลับเรานั่งรถของบริษัท Transitional เหมือน รถบริษัทนี้เป็นของรัฐบาล ราคาจะสูงกว่าเอกชนไม่มาก รถมาตรฐาน และมีบริการ Wi-Fi บนรถแต่ต้องเสียค่าบริการ RM 4 ประมาณ 40 บาท สำหรับ 2 ชม.

เราถึงสถานี TBS ประมาณบ่าย 3 โมง จากนั้นต่อรถไฟสาย Sri Petaling ตรงหน้าสถานีไปลงที่สถานี Hang Tuah เพื่อเปลี่ยนสายไปสถานี lmbi ด้วยรถไฟ monorail ตอนแรกก็งงๆว่าจะไปกันถูกไหม ระบบรถไฟมาเลเซียมีข้อดีตรงที่ทุกสายสามารถใช้เหรียญแบบเดียกัน และเกือบทุกสายเชื่อมต่อกันจึงไม่ต้องยุ่งยากต้องซื้อตั๋วใหม่ สักพักเราจะเริ่มคุ้นเคยและรู้ว่ารถไฟที่นี่สะดวกสบายมากๆ

Bukit Bintang

Sky Express Hotel

เราลงที่สถานี monorail – lmbi แล้วเดินแล้วขวาไปถนน Jalan Pudu เราพักที่โรงแรม Sky Express Hotel เป็นโรงแรมใหม่ ข้างๆเป็น 7-11 ตรงข้ามเป็นโรงแรม Swiss Garden หน้าโรงแรมยังมีป้ายรถเมย์สะดวกในการเดินทาง ถ้าเดินทะลุข้างหลังก็จะเป็น ถนนที่ขายอาหารเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นอาหารจีนและไทย ชื่อถนน Jalan Alor เป็นถนนสั้นๆขนานกับ Jalan Bukit Bintang

Check in ที่โรงแรม จะเสียค่ามัดจำ RM 50 ได้คืนวันที่ check out ได้ key card มาสองใบสำหรับขึ้นลิฟท์และเข้าห้องพักค่ะ ลักษณะห้องประมาณนี้ ใหม่ สะอาด มีน้ำอุ่น Wi-Fi ตู้เย็น ฯลฯ  ราคาห้องพักจองจากอโกด้า 1390 บาท

Suria, KLCC

Suria, KLCC

เย็นนี้เลือกไปตึกแฝด Pretonas Twin Tower และไปทานข้าวร้าน Madam Kwan’s ซึ่งเป็นอาหารมาเลย์  อยู่ชั้น 4 ห้าง Suria ก่อนไปตึกแฝดเดินสำรวจถนน Jalan Alor กับ Bukit Bintang คนเดินเยอะมาก โรงแรมย่านนี้ก็เยอะมากๆมีตั้งแต่ราคาถูกจนถึงหลักหมื่น จากสถานี lmbi ไปตึกแฝด ต้องไปลงที่สถานี Musjid Jamek แ้ล้วต่อรถไฟฟ้าใต้ดินไปสถานี KLCC โผล่ที่ห้าง Suria เลย ห้างเหมือนสยามพารากอนไทย ยังมี Isetan และอีกห้างติดกันแต่จำชื่อไม่ได้มีร้านแบรนด์เนมเยอะ และมีร้านหนังสือ Kinokuniya ที่ใหญ่มากๆ

Nasi Lemak @ Madam Kwan's Restaurant

Nasi Lemak @ Madam Kwan’s Restaurant

อาหารมื้อเย็นที่ร้าน Madam Kwan’s ที่เราสั่งมี Nasi Lemak, Dumpling noodle soup แล้วก็อะไรอีกอย่างที่เหมือนผัดไทย แต่ใส่กุ้งปลาหมึกเยอะ อร่อยด้วย ปิดท้ายกันด้วยน้ำแข็งใส (Ice Campur) น้ำแข็งใสราดด้วยน้ำหวานและรู้ดเบียร์ อร่อยเฉพาะข้างรู้ดเบียร์ อีกด้านกลิ่นฉุนๆไม่สามารถกินได้ อิอิอิ

หลังจากทานเสร็จก็เกือบ 3 ทุ่ม ต้องออกไปชมตึกแฝดที่ใครๆก็บอกว่าสวยและสูงมาก

Pretonas Twin Tower @ KLCC

ตอนแรกคุยกันว่าหลังจากชมตึกแฝดจะไปเดินที่ China Town แต่กลัวไม่ทันรถไฟฟ้าเลยต้องกลับแล้วไปเดินถนนสายอาหาร Jalan Alor เดินตามถนนเส้นนี้สะดุดกับอาหารชนิดหนึ่งเหมือนลูกชิ้นเสียบไม้ เอาไปต้มหรือทอดหรือย่างก็ได้ ทานกับน้ำจิ้มกะทิ ก็อร่อยใช้ได้แต่แพงมาก ไม้ละ 50 บาท อันที่จริงเราตั้งใจจะมาทานข้าวที่ร้าน Meng Kee เป็นร้านอาหารแนะนำ ราคาไม่แพงมาก อาหารอร่อย แต่จะเอาไว้ลองค่ำพรุ่งนี้แล้วดูว่าจะอร่อยเหมือนที่ Groovy Map แนะนำไว้หรือเปล่า

วันที่ 21 มกราคม

วันที่ 3 ของการเดินทาง เราตั้งใจเดินเก็บสถานที่ให้มากที่สุดภายใน KL ทั้ง Jamek Mosque ตอนที่ไปกำลังปิดปรับปรุง ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้

Kualar Lumpur City Gallery มีโชว์ model ตึก และร้านขายของที่ระลึกข้างใน เราได้สมุดบันทึกจากร้าน Arc มาหนึ่งเล่ม ราคา RM 19 หรือ 190 บาท

National Textile Museum

National Textile Museum

Textile Museum และ Sultan Abdul Samed และ Merdeka Square เป็นอาคารที่อยู่แนวเดียวกัน สถาปัตยกรรมสวยงามสไตล์มุสลิม

Sultan Abdul Samed

เสร็จจาก ชมอาคารสวยๆงามๆ เราเดินไป Central Market เป็นตลาดที่รวมของที่ระลึกเยอะแยะไปหมด ราคาไม่แพงมากแต่ส่วนใหญ่จะไม่สามารถขอลดราคาได้เพราะมีป้ายติดไว้หมด

ข้างๆ KL City Gallery มีร้านอาหารแบบ buffet ที่ร้านอาหาร Warisan ราคาไม่แพง แต่เราไม่ได้ลองเพราะนัดกับเพื่อนชาวมาเลเซียมาทานข้าวมื้อเที่ยงที่ Mid Valley Shopping Mall โดยต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไป KL Sentral แล้วต่อไปที่ สถานี Mid Valley

13.00 น. Lee Fook Chin เพื่อนชาวจีน มาเลย์ มาเลี้ยงมื้อเที่ยง ที่ร้านอาหาร Delicious เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ต้องขอบคุณลี ณ ที่นี้ด้วยค่ะ 🙂

เพื่อนถามว่าอยากไป Batu Cave ไหม ปราะมาณ 1.30 ชม.จาก KL แต่เพื่อนไม่อยากไปเพราะไม่แน่ใจว่าจะกลับยังไง ลีจะส่งแต่ต้องหาทางกลับเอง สุดท้ายเลยตกลงว่าไม่ไปแต่รบกวนให้ไปช่วยหาผงบะกุดเต๋ ลีพาขับรถออกไป Klang ประมาณ 20 นาที เพราะในตัวเมืองจะหายากเนื่องจากเป็นผงหมักหมู ต้องไปหาซื้อที่ชุมชนจีนนอกเมืองกว่าจะซื้อได้ขับรถวนกันหลายรอบมาก เอิ๊กๆๆ

Suanway Pyramid Shopping Mall

Suanway Pyramid Shopping Mall

คือบ่ายนี้เราไม่มีแผนการที่แน่นอน ลีเลยเอาพวกเราไปส่งให้เดินช้อปปิ้งที่ห้าง Sunway Pyramid เป็นห้างใหญ่ไกลจากตัวเมืองพอสมควร มีโซนของสวนน้ำและเครื่องเล่นด้วย ไม่มีรสเมล์ผ่านต้องขับรถส่วนตัวและแท็กซี่เท่านั้น

Sunway Pyramid Mall

แต่เย็นนี้เราจะไปเมืองปุตราจายา (Putra Jaya) เมืองราชการแห่งใหม่ของมาเลเซียที่เน้นพื้นที่สีเขียว ผังเมืองดีเยี่ยม ห้าง Sunway Pyramid หลุดออกจากแผนที่ซึ่งทำให้เรางงมากว่าจะต้องไปเริ่มต้นเดินทางกันที่ไหน ตกลงกันอยู่นานจึงนั่งแท็กซี่ไปที่สถานี Mid Valley ต่อไปที่ KL Sentral แล้วนั่งรถไฟไปที่สถานี Putrajaya/Cyberjaya

ลงที่สถานี Putrajaya แล้วต้องต่อรถเมล์ สาย 101, 300 ตั๋วราคาถูกมา 50 cent RM หรือ 5 บาท เป็นรถวน สะดวกสบาย ระบบเก็บเงินมีประสิทธิภาพ ถ้าเราไม่แน่ใจจะไปอย่างไร ที่สถานี Putrajaya จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ ตอนเราไปถามเจ้าหน้าที่รู้เลยว่า ยู คอม ฟรอม ไทยแลนด์ ฮ่าๆๆ 🙂 รถเมล์จะออกเป็นรอบดูตารางได้ที่สถานีรถได้เลยค่ะ

Mosque in Putrajaya

มีแอบหลง ลงผิดที่เห็นเขาเดินลงกันทั้งรถก็เลยเดินลง กลัวพนักงานจะไล่ลงแล้วหน้าแตก เขาไปจอดห้าง Parkson แต่ด้วยความช่วยเหลือของคนมาเลย์ เราจึงไปถึงศูนย์กลางของเมือง แต่โชคร้ายฟ้าไม่สว่างเลย เหมือนฝนกำลังจะตก มองอะไรไม่ค่อยชัด ได้ถ่ายรูปแค่ไม่กี่รูป เราก็กลับ KL

Putrajaya Bridge

กลับมาถึง KL ค่อนข้างดึกมาก หิวกันมากๆด้วย ตั้งใจไปทานข้าวกันที่ Jalan Alor ร้าน Meng Kee แต่กว่าจะเดินถึงหลงกันเป็นชั่วโมง ขาแทบขาด มาถึงร้านเกือบเที่ยงคืน อาหารที่สั่งมี ผัดผักบุ้ง ข้าวผัด และหอยทอด ทานข้าวเสร็จก็รีบกลับไปโรงแรมแล้วหลับแบบไม่ได้อาบน้ำเลย เพลียสุดๆ

วันที่ 22 มกราคม

วันสุดท้ายของการเดินทาง วันนี้เราตื่นกันสาย เวลาบินกลับประมาณบ่าย 3 เรายังมีเวลาไปเดินช้อปปิ้งอีกประมาณ 2 ชม. ที่ Berjaya Time square เป็นโรงแรมและ shopping center ที่ใหญ่มาก ห้างสุดท้ายเป็นห้างขายส่งเหมือน แพลตินัม ของไทย ชื่อ Sungei Wang Plaza เราเลือกทานมื้อเที่ยงกันที่ร้าน Pak Hai Lam Kopitiam เป็นอาหารมาเลย์และอาหารยุโรป เราสั่งกันประมาณ 3 อย่าง อร่อยทุกอย่าง แนะนำให้ลองค่ะร้านนี้มีหลายสาขา ราคาสมเหตุสมผล ราคารวมเครื่องดื่มประมาณ RM 50 หรือ 500 บาทถือว่าราคาเหมาะสมค่ะ ภายในร้านยังมีบริการขนมปัง เบเกอรี่ที่อร่อยมากๆ ให้ 4 ดาวเลยค่ะร้านนี้

Recommended menu ----- Nasi Lemak

หลังจากทานเสร็จเรานั่งรถไฟไป KL Sentral ขากลับเราไม่นั่งรถไฟแต่จะใช้รถไฟไปสถานี Salag Tinggi แล้วไปต่อ Shuttle Bus ใช้เวลารวมกันประมาณ 1 ชม. น้อยกว่านั่งรถทัวร์และนั่งสบาย

LCCT คนเยอะค่ะแนะนำให้ไป check in ก่อน 2 ชม. เพราะคิวยาวและคนเยอะมาก

very long ques, it takes time to check in

very long ques, it takes time to check in

มีเรื่องเล่าจากด่าน ตม. ไม่รู้มีใครเคยเจอแบบนี้หรือเปล่า

ขณะที่เรากำลังรอประทับตราผ่านจาก ตม. เจ้าหน้าที่ถามว่า ” คุณแต่งงานหรือโสด”      “โสดค่ะ”   ตม.     “ผมเป็นสามีของคุณได้ไหม”        “ได้แต่ทำหน้างง”  ตม.ยังมิวายส่งสายตาหวานเหมือนจะกินกัน

ลาแล้ว มาเลเซีย การเดินทางครั้งทั้งเหนื่อย สนุกสนาน เครียดเล็กน้อย แต่ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำและตื่นเต้น ในการเดินทางเราเจอทั้งคนดีและคนไม่ดี อาหารอร่อยถูกปากและกินไม่ได้ หลงทางบ้าง บางครั้ง นี่เป็นเสน่ห์ของการเดินทางแบบ back packer

รักคุณหลายอย่าง หวังว่าจะได้เจอกันอีกค่ะ 🙂

สามารถดาวน์โหลดเส้นทางรถไฟได้ที่นี่ KL Transit Map  

5 thoughts on “แรกพบ มาเลเซีย (Steps on Malaysia)

Leave a comment